หัวไม่ดี ก็เรียนดีได้ 1 สิ่งที่ช่วยให้เรียนเก่งขึ้นได้ ไม่ต้องพยายาม
เทคนิคส่งเสริมพัฒนาการให้ลูกฉลาด มีไหวพริบดี ความจำดี เรียนเก่งขึ้น
คุณพ่อคุณแม่หลายคน ให้ความสำคัญกับเรื่องเรียนมาก อยากให้ลูกเรียนเก่งกว่านี้ บางครอบครัวทุ่มเททุกอย่าง อังกฤษ คณิต วิทย์ เท่าไหร่ เท่ากัน ทุ่มสุดตัว สังเกตให้ดีเด็กๆ จะไม่มีเวลาทำอะไรเลยนอกจากเรียน หลังจากเลิกเรียนจากโรงเรียน ก็เรียนพิเศษ ทำการบ้าน วันเสาร์ อาทิตย์ก็ยังมีเรียนพิเศษ ติว กวดวิชาต่าง ๆ แต่คุณพ่อคุณแม่สัเกตมั้ยว่า ลูกๆ รับสิ่งที่เขาเรียนเข้าไปได้มากน้อยขนาดไหน ถึงแม้เรียนพิเศษแล้วก็ตาม ก็อาจจะยังไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่คุณพ่อคุณแม่คาดหวัง และที่ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร ก็ไม่ใช่เป็นเพราะลูกเราหัวไม่ดี เลยเรียนไม่เก่ง แต่เป็นเพราะลูกเราขาดสมาธิ
ถ้าเมื่อไหร่เด็กมีสมาธิ เด็กจะจดจ่อ จดจำได้ดี อ่านหนังสือครั้งเดียวรู้เรื่อง เข้าใจ และเก็บข้อมูลไว้ได้ แต่ถ้าหากเด็กกังวล อ่านหนังสือ ท่องหนังสือนานๆ แต่สมาธิไม่ได้อยู่กับตัว จะใช้เวลานานเท่าไหร่ ก็อาจจะไม่เข้าใจ และไม่สามารถจดจำข้อมูลได้
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน เช่นเวลาเราดูหนัง ดูละครที่ชื่นชอบ เราจะจดจำได้หมด เรื่องราวไปถึงตอนไหน ใครพูดอะไร ใส่ชุดสีอะไร แต่งตัวแต่งหน้ายังไง นั่นเป็นเพราะเรามีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่เราสนใจ
แล้ววิธีสร้างสมาธิ ที่ง่ายที่สุดคือทำยังไง ?
สมาธิสร้างได้เมื่อจิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น ๆ มีงานวิจัยของสหรัฐอเมริกา บอกว่า เด็กที่ได้มีโอกาสกระโดดแทรมโพลีนตั้งแต่เล็ก จะมีสมาธิดีขึ้น และเรียนเก่งขึ้นได้ เพราะเมื่อร่างกายอยู่บนแทรมโพลีน เด็กจะต้องจดจ่อ ควบคุมอวัยวะของตัวเองเพื่อให้ทรงตัวให้ได้ ต้องเข้าใจจังหวะของร่างกาย แขนขา แกนกลางลำตัว ควบคุมกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายให้ได้
เคยสังเกตเด็กบางคนไม่สามารถแยกแยะมือซ้ายจากมือขวาได้ นั่นเป็นเพราะประสาทสัมผัสกับสมองไม่สัมพันธ์กัน หรือเคยคิดหรือไม่ ทำไมเด็กบางคนมีแววทักษะกีฬาตั้งแต่เล็ก จับบอลมาก็เตะได้แล้ว จับไม้แบดมาก็ตีโดนลูกหมดนั่นเป็นเพราะ ประสาทและสมองของเด็กสัมพันธ์กัน ทำให้เขาควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ดี ประสาทสัมผัสไว ทั้งสายตา มือ แขน ขา ข้อเท้า และทุกส่วนของร่างกายจะสัมพันธ์กันหมด
ข่าวดีก็คือ ถึงแม้เราจะคิดว่า ลูกเราจะเรียนไม่เก่ง กีฬาไม่เก่ง ก็มีโอกาสเก่งขึ้นได้ หากได้รับการฝึกฝนด้วยการกระโดดแทรมโพลีนตั้งแต่เล็ก แทรมโพลีนจะช่วยฝึกประสาทสัมผัส ควบคุมกล้ามเนื้อ การทรงตัว และการเคลื่อนไหวของร่างกายทุกส่วนให้สมดุลกัน
สมาธิสร้างได้ ร่างกายต้องตื่นตัว วิธีไหนที่จะปลุกพลังให้ร่างกายตื่นตัวที่เร็วที่สุด ?
ร่างกายจะตื่นตัวได้ จะต้องได้รับออกซิเจนปั๊มไปที่สมอง ปอด หัวใจ เมื่อไหร่ที่สมอง ปอด หัวใจได้รับออกซิเจนเต็มที่ จะรู้สึกสดชื่น เฟื่องฟู
วิธีที่ปั๊มออกซิเจนไปที่ปอด สมอง หัวใจที่เร็วที่สุด คือ การกระโดดแทรมโพลีน ในเวลาเพียง 1 นาที ที่คุณลอยตัวกระโดดบนแทรมโพลีน ร่างกายจะถูกบังคับให้ขยับขึ้น ๆ ลง ๆ 120-150 ครั้ง เซลล์ทุกเซลล์ กล้ามเนื้อทุกชิ้น เลือดจะหมุนเวียน สูบฉีดไปทั่วร่างกาย เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง ปอดขยายได้มากถึง 15 เท่า ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของพลังงานในตัวคุณหลังจากกระโดดแทรมโพลีนตั้งแต่นาทีแรก
เมื่อร่างกายตื่นตัว มีพลังจะมีสมาธิมาเต็ม ๆ จากประสบการณ์ของผู้เขียน ที่เคยส่งลูกอายุ 5 ขวบไปเรียนพิเศษที่คุมอง แต่ลูกเกลียดคุมองมาก ไม่ยอมทำแบบฝึกหัด ทุกครั้งจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน จากแบบฝึกหัดที่จะทำแต่ละครั้ง ต้องจ้ำจี้ จ้ำไชกันเป็นเวลานาน 30 นาที แต่เมื่อผู้เขียนบอกว่า ไม่อยากทำแบบฝึกหัดก็ออกไปเล่นแทรมโพลีนแล้วกัน เมื่อลูกไปเล่นเพียง 10 นาที กลับเข้ามาหน้าแดงก่ำ เหงื่อออกท่วมตัว แล้วลูกก็นั่งทำแบบฝึกหัดเอง ภายใน 3 นาทีจบทั้งหมด ผู้เขียนจึงเข้าใจชัดเจนว่า เด็กๆ จะเรียนรู้ได้ดี ต้องให้ร่างกายตื่นตัว มีพลัง มีสมาธิ สมองปลอดโปร่ง แล้วเขาจะเปิดรับได้ทุกสิ่ง
แนะนำสินค้ารุ่นยอดนิยม
นอกจากนี้ ขอแชร์เพิ่มเติม 10 เคล็ดลับ ที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนมีส่วนช่วยให้ลูกเรียนเก่งขึ้นได้
1. สอนลูกฝึกฝนทักษะด้านการเรียน ด้วยการให้ทำบ่อยๆ ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนทักษะการคำนวณ ภาษา ศิลปะ หรือด้านกีฬา การออกกำลังกาย การฝึกให้ทำซ้ำๆ บ่อยๆ จะทำให้เด็กเกิดความเชี่ยวชำนาญ ความจำดี มีสมาธิอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ ได้ เมื่อถึงเวลาเข้าเรียน จะช่วยให้เด็กมีสมาธิในการเรียนดี
2. สอนเรื่องระเบียบวินัยในกิจวัตรอย่างถูกวิธี คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนและบอกให้ละเอียดชัดเจน ไม่ใช่เอาแต่พูดในสิ่งที่ไม่ต้องการให้ลูกทำ จะทำให้การรับสารของเด็กเกิดความสับสน การคอยอบรมสั่งสอนเรื่องระเบียบวินัยอย่างชัดเจนละเอียดในทุกๆ ครั้ง จะเป็นการฝึกฝนให้ลูกมีนิสัยเก็บรายละเอียดต่างๆ ได้ดีขึ้น และนำพฤติกรรมนี้ไปปรับใช้ได้กับทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการเรียน เด็กจะสามารถเก็บรายละเอียดความรู้ที่ครูสอนได้
3. ฝึกสอนการจัดระบบความคิดให้ลูกด้วยการเขียนบันทึก เพิ่มทักษะการเขียนให้ลูก สอนเขียนบันทึกเรื่องราวประจำวันลงในสมุดบันทึกที่ลูกชื่นชอบ อาจฝึกจากการเขียนเพียงสั้นๆ ก่อนก็ได้ แต่กระตุ้นให้ลูกเขียนทุกวัน เด็กจะต้องการเพิ่มเรื่องราวประจำวันของพวกเขาในภายหลังเอง
4. ให้ลูกนอนหลับพักผ่อนเป็นเวลา วัยเด็กควรนอนหลับสนิทอย่างน้อยวันละ 7 ชั่วโมง หากนอนน้อยเกินไป จะทำให้ร่างกายที่กำลังพัฒนาของเด็กถูกลดประสิทธิภาพลง ในขณะเดียวกันหากปล่อยให้ลูกนอนมากเกินไป ก็จะทำให้เด็กไม่ตื่นตัวเท่าที่ควร ความจำต่างๆ ก็ลดทอนประสิทธิภาพลงไปด้วย
5. เลือกเสิร์ฟอาหารที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพสมองของลูก อาหารที่มีคุณค่าและโภชนาการดีต่อเด็ก เช่น ไข่ ธัญพืช ผักผลไม้ และปลาจากทะเลที่ประกอบด้วยธาตุเหล็ก ช่วยสร้างเซลล์สมอง และส่งเสริมการทำงานของสมองซีกซ้าย ให้เด็กมีความจำที่ดี
6. สอนลูกทานอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ไม่เซ้าซี้ให้ลูกกินอาหารเยอะๆ เพราะการกินอาหารมากเกินความต้องการ เป็นสาเหตุหลักของโรคอ้วน เมื่ออิ่มมากๆ ร่างกายต้องใช้พลังงานมากในการย่อย ทำให้ง่วง ขี้เกียจได้ง่าย และจะทำให้ลูกติดนิสัยชอบกินอาหารเยอะโดยไม่รู้ตัว
7. เลือกของเล่นที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทักษะของลูก เช่น เกมจับคู่ เกมเกี่ยวกับคำศัพท์ จิ๊กซอว์ เลโก้ ของเล่นเกี่ยวกับการประกอบที่จะทำให้เด็กต้องใช้เวลานานๆ ในการใช้ความคิด เป็นการเสริมสร้างการทำสมาธิ เด็กมีความสามารถในการจดจ่อได้นานยิ่งขึ้น
8. คุณพ่อคุณแม่ต้องแบ่งเวลาให้ลูกอย่างพอดี สมองของเด็กต้องการเวลาพักผ่อนเช่นกัน การเลี้ยงดูลูกอย่างเข้มข้นให้ใช้ความคิดอย่างหนักตลอดเวลา อาจทำให้สมองของลูกสมองเกิดอาการล้าได้ ไม่มีสิ่งใดให้ผลลัพธ์ที่ดีหากทำมากจนเกินไป การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ลูกเป็นเด็กเรียนเก่งขึ้นได้
9. ชื่นชมลูกเยอะๆ เพิ่มความมั่นใจให้กับลูก คำว่าเรียนเก่งไม่มีมาตราวัดที่ชัดเจน ล้วนขึ้นอยู่กับความคาดหวังของพ่อแม่ เด็กบางคนเรียนดีวิชานึง และก็ทำได้ปานกลางในอีกวิชา ดังนั้นไม่ว่าแนวทางการเรียนรู้ของลูกจะไปทางไหน ควรส่งเสริมลูกด้วยการให้กำลังใจ ชื่นชมเมื่อเด็กทำได้ดี จะทำให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น พร้อมจะเป็นที่หนึ่งในสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี
10. จัดสรรเวลาออกกำลังกายให้ลูก พาลูกทำกิจกรรมกระโดดแทรมโพลีน (Trampoline) ที่บ้าน รู้หรือไม่ว่า แทรมโพลีนเป็นตัวช่วยพิเศษที่สามารถพัฒนาสุขภาพสมองของเด็กได้ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ปรับปรุงความยืดหยุ่นของระบบประสาทและการเชื่อมต่อของสมอง ลดความเครียดของเด็กๆ และในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของเด็กให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม การกระโดดบนแทรมโพลีนให้ประโยชน์ทั้งด้านสมองและร่างกาย ลูกมีสุขภาพดีได้ไปพร้อมๆ กับการบำรุงสุขภาพสมองพาลูกๆ ของคุณกระโดดเล่นแทรมโพลีน เพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ในชั้นเรียนของลูกคุณให้ดียิ่งขึ้น ได้ประโยชน์ทางกายภาพ กระตุ้นการทรงตัว ปรับปรุงสุขภาพสมองด้วยการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และส่งออกซิเจนไปยังสมองขณะออกกำลังกายกระโดดบนแทรมโพลีน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการเล่นแทรมโพลีนที่บ้าน ผู้ปกครองสามารถร่วมกิจกรรมกับลูกๆ ในช่วงเวลาพักผ่อนสมอง ดูแลสภาพแวดล้อมติดตั้งอุปกรณ์เครื่องออกกำลังกายในบ้านแทรมโพลีนอย่างถูกต้อง และเลือกซื้อแทรมโพลีนที่มีประสิทธิภาพ มีการรับรองการผลิตที่ได้มาตรฐาน เพื่อการเล่นแทรมโพลีนอย่างปลอดภัย หายห่วง
RELATED : เสียดายกว่าจะรู้ก็สายแล้ว 2 สิ่งที่ไม่ได้ให้ลูก
SmartPlayOnly ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องออกกำลังกายที่บ้าน แทรมโพลีน (Trampoline) คุณภาพสูงเกรดเยอรมัน แทรมโพลีนคุณภาพที่มีให้เลือกเยอะที่สุดในประเทศไทยกว่า 30 แบบ พร้อมให้คำแนะนำปรึกษาการเล่นแทรมโพลีนที่ถูกต้อง ปลอดภัย และการติดตั้งจากทีมผู้เชี่ยวชาญด้านแทรมโพลีนโดยเฉพาะ SmartPlayOnly ตัวจริงเรื่องแทรมโพลีน (Trampoline) ที่คุณไว้วางใจได้ที่สุด!
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อแทรมโพลีน (Trampoline) ออกกำลังกายปอดให้แข็งแรง
จาก Smartplay Only
Tel: 092-742-7447 | Email: info4rjw@gmail.com
Line Official: @SmartPlayOnly | Facebook: JumpSmartPlayOnly